“TECH ECOSYSTEM BUILDER FOR
SUSTAINABLE GROWTH”

สำหรับปี 2566 การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและ ESG เป็นแนวโน้มระดับโลกที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใด ผู้นำต่าง ๆ ควรเข้าใจและใช้ประโยชน์สูงสุดจากกระแสธุรกิจเหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลไม่ใช่ทางเลือกสำหรับธุรกิจอีกต่อไป เนื่องจากแรงกดดันจากโรคระบาดและแนวโน้มของผู้บริโภคเปลี่ยนไปเป็นดิจิทัลมากขึ้น องค์กรธุรกิจต่างๆ จะต้องตอบสนองความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปของพนักงาน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดที่มุ่งเน้นดิจิทัลและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผู้นำมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลประสบความสำเร็จ รวมถึงควรมีการคาดการณ์แนวโน้มและความท้าทายของธุรกิจในอนาคต เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ธุรกิจ กำหนดและวางโครงสร้างธุรกิจเกี่ยวกับวิธีการจัดการและขับเคลื่อนความคิดริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลให้ประสบความสำเร็จในแนวทางที่ยั่งยืน

โดยกลยุทธ์การดำเนินงานในปี 2566 ได้มุ่งเน้นการปรับแผนธุรกิจของบริษัทฯ มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วิสัยทัศน์ “Tech Ecosystem Builder” ว่า TKS จะเดินหน้ากลยุทธ์ในการขยายการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี (Tech) อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยการพัฒนานวัตกรรมด้านระบบสารสนเทศ และได้ปรับโครงสร้างองค์กรในกลุ่มบริษัทให้เกิดผลผนึกทั้งด้านการพัฒนาตลาดและผลิตภัณฑ์ และด้านการลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันโดยรวมสำหรับรักษาฐานธุรกิจเดิมควบคู่ไปกับการหาพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่


มองไปข้างหน้าอีก 2-3 ปี กลุ่มธุรกิจของ TKS จะมีความหลากหลายมากขึ้น โดยจะเน้นไปยังกลุ่มเทคโนโลยีที่ไม่ได้มีความซับซ้อนเกินไปอย่าง Deep Tech (เทคโนโลยีขั้นสูง) ซึ่งส่วนตัวมีความเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีอยู่แล้ว ทั้งจากประสบการณ์การทำบริษัท Tech Start up และการคลุกคลีอยู่กับบริษัทในเครืออย่าง SYNNEX เชื่อมั่นว่าความหลากหลายในกลุ่มธุรกิจของ TKS และการโฟกัสในธุรกิจเทคโนโลยีจะสร้างรากฐานการเติบโตที่แข็งแกร่งได้ในระยะยาว


โดยผลการดำเนินงานและฐานะการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ มีรายได้จำนวน 1,488.3 ล้านบาท ลดลง 93.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.9 จากปีก่อน รายได้ที่ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายงานโครงการพิเศษในกลุ่มธุรกิจการพิมพ์ป้องกันการปลอมแปลงและยอดขายธุรกิจการพิมพ์ข้อมูลลูกค้าด้วยระบบดิจิทัลที่ปรับตัวลดลง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 29.6 ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 30.4 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบกระดาษและค่าใช้จ่ายในการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 108.1 ล้านบาท ลดลง 37.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.0 จากปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงของกำไรขั้นต้นและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมลดลง 136.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 49.1 โดยมีสาเหตุหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรจาก SYNNEX ที่ลดลง สินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ 5,345.1 ล้านบาท ลดลง 448.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.7 สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงการวัดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในตราสารทุน โดยฐานะการเงินของบริษัทฯ ยังมีความแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.29 เท่า


ในปี 2567 จะเห็นการฟื้นตัวทั้งธุรกิจฉลากและบรรจุภัณฑ์ (Label & Packaging Solutions) ที่ยังมีโอกาสเติบโตมากกว่า 25% จากการขยายตลาดไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และตลาดอาเซียน รวมไปถึงการผลักดันธุรกิจฉลากป้องกันการปลอมแปลง (Security Label solution) ที่สามารถเติบโตได้ดี และเป็นโซลูชันที่มีโอกาสเติบโตอย่างมาก โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยเสริมทัพ ชูกลยุทธ์ Tech Ecosystem Builder


ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการต่ออายุการรับรองการเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย และได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และยังติดหนึ่งใน Top Quartile ในปี 2566 เป็นปีที่ 2 ต่อกัน ในโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ประจำปี 2566 ที่จัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีกที ยังได้รับคะแนนประเมิน AGM Checklist ด้วยคะแนนเต็ม 100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานหลักจริยธรรมและหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและพร้อมเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว


รวมทั้งบริษัทฯ ได้รับรางวัลและเกียรติคุณที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการอย่างยั่งยืนที่สำคัญมากมาย อาทิเช่น ได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2566 ในระดับ A เป็นปีที่ 2 ต่อกัน (เดิมใช้ชื่อว่าหุ้นยั่งยืน THSI) ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนของภาคอุตสาหกรรม บริษัทฯ รับมอบโล่เกียรติยศโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 7 จาก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นโรงงานที่ยึดมั่นในการประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการเติมเต็มความยั่งยืนให้ปรากฏเป็นรูปธรรมในอุตสาหกรรมนั้นได้อย่างแท้จริง รวมถึงรับมอบโล่ และ เกียรติบัตร โรงงานเครือข่ายลดก๊าซเรือนกระจกดีเด่น ประจำปี 2566 จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย เป็นการสะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน


คณะกรรมการบริษัท ขอขอบคุณท่านผู้ถือหุ้น คู่ค้า คู่ธุรกิจ ลูกค้า สถาบันการเงิน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผู้บริหารและพนักงานทุกท่านที่สนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทด้วยดีตลอดมา และขอให้เชื่อมั่นว่าบริษัทดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักธรรมาภิบาล ตระหนักถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย รวมถึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมุ่งเสริมสร้าง ความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป